มัสยิดกลางประจำจังหวัดยะลา
เลขที่ 835 ถนนสิโรรส ต.สะเตง อ.เมืองยะลา จ.ยะลา 95000 -
ประวัติมัสยิดกลางประจำจังหวัดยะลา
(มัสยิดเราฎอตุลยันนะห์)
มัสยิดกลางประจำจังหวัดยะลา(มัสยิดเราฎอตุลยันนะห์) ตั้งอยู่เลขที่ ๘๓๕ ถนนสิโรรส ตำบลสะเตง เทศบาลนครยะลา อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ได้มีการบันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘ นายอุสมาน ดอเฮะ ได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งในเขตตำบลสะเตง อำเภอเมืองยะลา เนื้อที่ประมาณ ๒๕๐ ตารางวา เมื่อซื้อที่ดินแล้วก็ได้ลั่นวาจาว่า หากใครจะสร้างมัสยิดข้าพเจ้าจะยกที่ดินแปลงนี้ให้
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ นายอุสมาน ดอเฮะ ได้ถึงแก่กรรม และในปีเดียวกันโต๊ะครูหะยีอาแว หะยีตันตู ซึ่งมีปอเนาะอยู่ตรงข้ามกับที่ดินของนายอุสมาน ดอเฮะ กำลังจัดหาที่ดินเพื่อที่จะสร้างมัสยิดและได้เชิญนายแวยูโซะ โต๊ะแปเราะ มาปรึกษาและให้ช่วยหาที่ดินเพื่อที่จะสร้างมัสยิด นายแวยูโซะ จึงแจ้งให้โต๊ะครูทราบว่ามีที่ดินแปลงหนึ่งตรงข้ามกับปอเนาะของโต๊ะครูซึ่งเป็นที่ดินของนายอุสมาน ดอเฮะ แต่เขาได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว นายแวยูโซะ อาสาจะไปปรึกษากับทายาทของนายอุสมาน ดอเฮะ หลังจากนั้นนายแวยูโซะ ได้มาแจ้งกับนางแมะซงบุตรนายอุสมาน ภรรยาของนายแวยูโซะ นางแมะซงแจ้งว่า จะต้องไปปรึกษากับนายมะแซ ดอเฮะ พี่ชายก่อน
เมื่อนายมะแซ ดอเฮะ ทราบเรื่อง จึงแจ้งแก่นายแวยูโซะว่า ที่ดินแปลงนั้นนายอุสมาน ดอเฮะ บิดา ได้ลั่นวาจาว่าถ้าใครต้องการที่ดินเพื่อจะสร้างมัสยิดเขาจะยกที่ดินให้โดยที่ดินมีเนื้อที่ประมาณ ๒๕๐ ตารางวา จริง แต่หลังจากบิดาได้เสียชีวิตไป ได้จัดการแบ่งมรดกไปแล้ว ที่ดินแปลงดังกล่าวได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางแมะเยาะ น้องสาวคนสุดท้อง
นายมะแซ แจ้งแก่นายแวยูโซะ ว่าจะเชิญมารดาและพี่น้องมาปรึกษากันก่อน เพื่อเสนอว่าจะซื้อที่ดินแปลงอื่นมาทดแทนให้กับนางแมะเยาะ โดยมารดาจะเป็นผู้รับภาระจัดซื้อให้ หลังจากตกลงกันได้แล้ว นายมะแซและนายแวยูโซะมาแจ้งให้โต๊ะครูทราบ โต๊ะครูจึงบอกให้นายมะแซและนายแวยูโซะ จัดหาที่ดินแปลงอื่นมาแลกเปลี่ยนให้แก่นางแมะเยาะ
ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลังจากได้ซื้อที่ดินมาแลกเปลี่ยนกับนางแมะเยาะ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายมะแซและนายแวยูโซะ จึงไปแจ้งให้โต๊ะครูทราบ ในปีต่อมาโต๊ะครูได้ให้ลูกศิษย์ทำการถางป่าและปรับพื้นที่ พื่อจะทำการก่อสร้างมัสยิดและให้ลูกศิษย์ไปบอกแก่ญาติพี่น้องให้ทราบด้วย
ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เริ่มดำเนินการก่อสร้าง เป็นอาคารชั้นเดียว เสาไม้ หลังคามุงกระเบื้อง
ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ เจ้าเมืองยะหริ่ง(อับดุลกอเดร์) ทราบข่าวการก่อสร้างมัสยิดจากนายหะยีหะมะ และนายหะยีอิสมาแอ เบ็ญฮาวัน จึงบอกแก่บุคคลทั้งสองว่า จะเป็นผู้ออกค่ากระเบื้องมุงหลังคาให้
ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ เจ้าเมืองยะหริ่งได้ส่งกระเบื้องมาเพื่อทำการมุงหลังคามัสยิดเป็นที่เรียบร้อย
ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ นายหะยียูโซะ หะยีอาซา ได้มอบที่ดินข้างเคียงด้านทิศใต้ของมัสยิด กว้าง ๑ วา ยาวตลอดถึงด้านหลังมัสยิด ขณะเดียวกันนายหะยีอูเซ็ง ก็ได้มอบที่ดินข้างเคียงด้านทิศเหนือ กว้าง ๕ เมตร ยาว ๑๐ เมตร ให้ทำเป็นที่อาบน้ำละหมาด
ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ นายหะยีหะมะ บือแน(หะยีหะมะ ปูยุด) เสนอต่อโต๊ะครูว่า ให้ติดต่อนายมะแซ ดอเฮะ เพื่อขอซื้อที่ดินด้านหลังที่เหลือจากบริจาคให้มัสยิดเพื่อทำเป็นกุโบร์(สุสาน) โดยจะเชิญชวนขอรับบริจาคเงินจากประชาชนทั่วไป เมื่อนายมะแซ ทราบ ก็ตอบว่ายินดีขายให้ โดยขอร่วมบริจาคคิดค่าที่ดินเพียงครึ่งราคา
ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ นายหะยีหะมะ บือแน ได้นำเงินที่ได้รับบริจาคจากชาวบ้านมามอบให้โครู และโต๊ะครูได้เรียกนายมะแซ และนายแวยูโซะมารับค่าที่ดิน ที่ดินแปลงนั้นก็ได้ทำเป็นกุโบร์สาธารณะตั้งแต่นั้นมา
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ โต๊ะครูหะยีอาแวและครอบครัวเดินทางไปมักกะห์ ได้มอบหมายให้โต๊ะครูหะยีอับดุลฮามิ อับดุลซอมะ ทำหน้าที่อิหม่ามแทน
ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ โต๊ะครูหะยีอับดุลฮามิ ลาออกจากอิหม่ามและได้เรียกนายมะ โต๊ะแปเราะ ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน กับนายมะแซ ดอเฮะ มาปรึกษาหาอิหม่ามแทนโดยหาจากวงศ์ญาติ นายมะ โต๊ะแปเราะ เสนอชื่อนายหะยีฮามะ กูแวะ ดังนั้นโต๊ะครูหะยีอับดุลฮามิ จึงเรืยกนายหะยีฮามะ มาสอบถามแต่นายหะยีฮามะปฏิเสธเนื่องจากต้องการจะย้ายไปอยู่ที่อื่น นายมะ จึงเสนอชื่อนายหะยีฮาซัน บูระดาเลง ผู้เป็นน้องเขย โต๊ะครูไม่ขัดข้องจึงรับนายหะยีฮาซัน เป็นอีหม่าม และได้ประชุมสัปบุรุษแจ้งให้ทราบ โดยขอร้องให้นายมะ โตีะแปเราะเป็นกรรมการและเลขานุการ
ต่อมามีประชาชนมาละหมาดวันศุกร์เป็นจำนวนมาก ทำให้สถานที่ละหมาดคับแคบจึงได้ประชุมคณะกรรมการฯ นายมะ โต๊ะแปเราะเสนอว่าทำการต่อเติมอาคารมัสยิดด้านหน้าในที่ประชุมกรรมการฯมีมติตกลงให้ทำการต่อเติมได้
ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ทางรัฐบาลให้มัสยิดต่างๆ ไปจดทะเบียน นายมะ โต๊ะแปเราะได้รับมอบอำนาจจากนายมะแซ ดอเฮะ ให้ไปจดทะเบียนและโอนที่ดินให้มัสยิด ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองยะลาเพื่อให้เป็นของมัสยิดต่อไป
ทางรัฐบาลได้ให้เงินสนับสนุนจำนวน ๑๘,๐๐๐.- บาท(หนึ่งหมื่นแปดพันบาทถ้วน) เป็นค่าปรับปรุงและขยายมัสยิด จึงเชิญสัปบุรุษและผู้มีเกียรติประกอบด้วยนายหะยีฮามะ แว ดะโต๊ะยุติธรรม นายหะยีสะมะแอ เบ็ญฮาวัน ดะโต๊ะยุติธรรม นายหะยีเฮง ตอฮา และนายบำเพ็ญ ภูมิประเสริฐ บรรดาสัปบุรุษและผู้มีเกียรติทั้งหลายก็สนับสนุน จึงดำเนินการจนแล้วเสร็จในปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๙
ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ นายหะยีดือเระ หะสาเมาะ ได้บริจาคที่ดินบริเวณหน้ามัสยิด กว้าง ๕ เมตร ยาว ๑๓ เมตร ให้แก่มัสยิด ปีเดียวกันนี้นายมะ โต๊ะแปเราะได้ขอลาออกจากกรรมการและเลขานุการมัสยิดเพื่อไปบำเพ็ญฮัจญ์ ณ นครมักกะห์ ประเทศซาอุดีอารเบีย
ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยการนำของนายหะยีอับดุลลาเต๊ะ สาและ(จ้าของร้าน อ.มุสลิม) ร่วมกับนายอาลี สุหลง ได้ดำเนินการขยายอาคารมัสยิดทางด้านหน้าออกไปอีก
ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ รัฐบาลจะสร้างมัสยิดกลางจังหวัดยะลา ทางคณะกรรมการฯมัสยิดจึงเสนอรื้อมัสยิดหลังเก่าออกแล้วให้สร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้นโดยเลื่อนอาคารออกไปข้างหน้าแต่ไม่เป็นที่ตกลงเพราะมีประชาชนคัดค้านกันมาก
ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณก่อสร้างอาคารมัสยิด เฉพาะตัวอาคาร ตามนโยบายความมั่นคงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ตามแปลนที่จัดออกแบบตามยุคสมัยแบบผสมผสาน เชิงตึกประกอบด้วยโดม โดยใช้งบประมาณแผนดินจำนวน ๒๘,๒๐๐,๐๐๐.- บาท(ยี่สิบแปดล้านสองแสนบาทถ้วน) สามารถรองรับผู้ประกอบศาสนกิจประมาณ ๒,๕๐๐ คน มีผู้ประกอบศาสนกิจประจำวัน(ละหมาดฟัรฎู) แต่ละเวลา(วักตู) ประมาณ ๕๐๐ คน ส่วนวันศุกร์และวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันอีดหรือฮารีรายอทั้งสอง มีประมาณ ๒,๕๐๐ คน
ทางมัสยิดได้ทำการปรับปรุงอาคาร และอาคารประกอบอยู่เสมอ เช่น งานลงพื้นหินอ่อนทั้งสามชั้นใช้งบประมาณบริจาคประมาณ ๘๐๐,๐๐๐.- บาท(แปดแสนบาทถ้วน) งานก่อสร้างอาคารประกอบและห้องรับรอง อาคารห้องน้ำชาย โดยใช้พื้นที่ชั้นสองเป็นห้องส่งสถานีวิทยุชุมชนประจำมัสยิด ออกอากาศบริการชุมชน และกิจกรรมศาสนาทุกวัน
ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ก่อสร้างอาคารประกอบและห้องรับรอง มีห้องพักค้างคืนสำหรับสตรี พร้อมห้องน้ำำหญิง ที่สะดวกสบายมากขึ้น
ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ปรับปรุงอาคารอาบน้ำมัยยิต(อาบน้ำศพ) เพื่อให้ทำพร้อมกันได้หลายราย ปรับปรุงห้องน้ำรวม ก่อสร้างที่อาบน้ำละหมาดเพิ่มเติม ก่อสร้างป้ายชื่อมัสยิดพร้อมไฟส่องป้าย ปรับพื้นโดยรอบเพื่อรองรับผู้มาฟังบรรยายธรรมประจำสัปดาห์วันอาทิตย์ ซึ่งมีจำนวนมากจนล้นออกมานอกอาคาร ปรับปรุงปูกระเบื้องลานบันไดชั้นสอง