มัสยิดยามิอุ้ลอิสลาม (คลองตัน)
ถนน เพชรบุรีตัดใหม่ ต.สวนหลวง อ.เขตสวนหลวง จ.กรุงเทพมหานคร 10250 02-318-2006

คลองตันเป็นชื่อตำบลหนึ่ง มีทางน้ำแยกเป็น 3 สาย แยกหนึ่งไปทางประตูน้ำ แยกสองไปมีนบุรี หนองจอก แยกสามไปทางพระโขนง ในสมัยนั้นทางสัญจรที่จะใช้ผ่านไปทางพระโขนงมีทำนบกั้นสูงมาก ไม่สามารถที่จะใช้เป็นเส้นทางผ่านไปมาได้ ชาวบ้านในละแวกนั้น จึงเรียกตำบลนี้ว่า “คลองตัน” ซึ่งในยุคนั้นมีประชากรมุสลิมอยู่เป็นส่วนน้อย
ประมาณ 125 ปีย้อนหลัง พี่น้องมุสลิมกลุ่มหนึ่ง ย้ายมาจากตำบลสามอิน และจับจองซื้อที่ดินในบริเวณสามแยกคลองตันฝั่งด้านตะวันออก (ฝั่งเขตสวนหลวงในปัจจุบัน) และได้ร่วมกันสละทรัพย์คนละเล็กละน้อยก่อสร้างเรือนไม้ เพื่อใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจ โดยมีโต๊ะกีโต เป็นอิหม่ามคนแรก
สิบปีต่อมา มีพี่น้องมุสลิมอีกกลุ่มหนึ่ง ย้ายจากสามอินเข้ามาสมทบ โดยมีโต๊ะกีมัน โต๊ะกีจู มูลทรัพย์ โต๊ะเลื่อน เพียรมานะ ครูฮีม(แซะห์) โต๊ะกีเซ็น โต๊ะกีซัน โต๊ะกีลี โต๊ะนิ่ม นะมิ โต๊ะกีมาน รักสลาม และโต๊ะกีจู ฯลฯได้จัดซื้อที่ดินจากสามแยกคลองตัน ไปถึงปากคลองลาดพร้าว ติดต่อเขตวัดน้อย กอร์ปกับเวลานั้นโต๊ะกีโตได้ถึงแก่กรรม โต๊ะเลื่อน เพียรมานะ ได้มอบที่ดิน 100 ตารางวา เป็นวากั๊ฟเพื่อสร้างสุเหร่า(ที่ตั้งมัสยิดปัจจุบัน) และย้ายสุเหร่าจากที่เก่ามาทำการก่อสร้างใหม่ในที่ดินแปลงนี้ โดยมีครูฮีม (แซะห์) เป็นอิหม่ามคนที่สอง
ปลายสมัย ร.7 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฮัจยีฮาซัน นรฮีม ได้สำเร็จการศึกษา และกลับจากมักกะห์ ครูฮีม(แซะห์) ซึ่งเป็นอิหม่ามในขณะนั้นได้ลาออก คณะกรรมการฯ จึงประชุมเลือกให้ครูซัน นรฮีม ดำรงตำแหน่งอิหม่ามคนที่สามสืบต่อมา โดยมีฮัจยีดล เพียรมานะ เป็นคอเต็บ ฮัจยีซอและห์ มูลทรัพย์ เป็นบิหลั่น ในระยะนี้มีสัปปุรุษเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการประชุมเพื่อรวบรวมเงินขยายมัสยิดหลังเดิมให้กว้างขวางมากขึ้น โดยมีฮัจยีหมัด(อยุธยา) เป็นนายช่าง ระหว่างที่กำลังก่อสร้างมัสยิดยังไม่ทันเสร็จ ครูซัน นรฮีม มีความจำเป็นต้องลาออกจากอิหม่าม ต่อมาคณะกรรมการฯ ได้ประชุมเลือกให้ฮัจยีดล เพียรมานะ ดำรงตำแหน่งอิหม่ามคนที่สี่สืบต่อไป โดยมีฮัจยีซอและห์ มูลทรัพย์ เป็นคอเต็บ กีหวังและห์ รักสลาม เป็นบิหลั่น และได้ดำเนินการก่อสร้างมัสยิดจนเสร็จเรียบร้อย ระหว่างนี้ได้มีการติดต่อขอสัปบุรุษจากสุเหร่าบ้านต้นไทร(บ้านดอนปัจจุบัน) จากอิหม่ามเลาะห์ กระเดื่องเดช และสัปปุรุษจากเขตวัดภาษี(นวลน้อยในปัจจุบัน) เรื่อยมาจนถึงคลองตัน ซึ่งทั้งหมดก็ยินดีมาเป็นสัปปุรุษของมัสยิดคลองตันในสมัยนั้น
ปี พ.ศ.2475 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองและตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้น จึงได้จัดการก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลด้านหลังมัสยิดโดยใช้ชื่อว่า “โรงเรียนประชาบาลสุเหร่าคลองตัน”
ปี พ.ศ.2477 อิหม่ามดล เพียรมานะ และคณะกรรมการมัสยิด มีโต๊ะกีมาน รักสลาม ฮัจยีซัน น้อยนงเยาว์ โต๊ะกี ฮัจยีมาน พุ่มดอกไม้ ฮัจยีเฮม น้อยนงเยาว์ โต๊ะกีเลาะห์ มูลทรัพย์ หมอเต็บ อับดุลสลาม ฯลฯ พิจรณาแล้วเห็นว่า ในขณะนี้สัปปุรุษเพิ่มขึ้นจำนวนมาก อิหม่ามจึงประชุมสัปปุรุษทั้งหมด เพื่อทำการขยายมัสยิดต่อไป ที่ประชุมตกลง โดยโต๊ะเลื่อน เพียรมานะ แจ้งความจำนงขายที่ให้มัสยิดอีก 100 ตารางวา โดยคิดตารางวาละ 100 บาท รวมเป็นเนื้อที่มัสยิดทั้งหมด 250 ตารางวา จนถึงปัจจุบัน อิหม่ามคนต่อมาได้แก่ อิหม่ามอับดุรเราะห์มาน เพียรมานะ ดำรงตำแหน่งอิหม่ามคนที่ห้า ในปี พ.ศ.2478 โดยมีฮัจยีซอและห์ มูลทรัพย์ เป็นคอเต็บ กีหวังและห์ รักสลาม เป็นบิหลั่น คณะกรรมการมัสยิดในยุคนั้นได้ดำเนินการที่สำคัญคือก่อตั้งและจดทะเบียนมูลนิธิชื่อ “สุเหร่าคลองตันมูลนิธิ” (ซึ่งได้มีดำหริมาตั้งแต่ยุคของท่านอิหม่ามดล เพียรมานะ) เป็นผลสำเร็จ
ระยะต่อมา มัสยิดหลังเก่าได้ชำรุดทรุดโทรมลง ประกอบกับสัปรุปุษได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงมีการจัดสร้างมัสยิดขึ้นใหม่ เป็นทรงปั้นหยาสองชั้น
สมัย จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทางมัสยิดได้งบประมาณมาจำนวนหนึ่ง เพื่อมาทำนุบำรุง และซ่อมแซมโรงเรียน พร้อมทั้งใช้ก่อสร้างอาคารมัสยิดรวมไปด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการนำกระแสไฟฟ้าเข้ามาใช้ในมัสยิดฯ โดยได้รับการสนับสนุนจาก นายลพ มัติศิลปิน และนายสังข์ น้อมโนทัย เพียงระยะเวลา 7 วัน การติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆก็เรียบร้อย และได้ดำเนินการเปิดใช้กระแสไฟฟ้า โดยมีนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล พร้อมทั้งบรรดาอิหม่ามจากตำบลต่างๆ เป็นผู้ดำเนินการเปิดการใช้กระแสไฟฟ้า
ประมาณ 10 ปีต่อมา ทางราชการได้ทำการตัดถนนใหม่ (ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ช่วงที่ 2) แนวถนนนี้ผ่านกลางกุโบร โดยไม่มีทางเลี่ยง จึงจำเป็นต้องยกที่กุโบรให้ทางเทศบาล โดยเทศบาลให้เงินค่าที่ดิน และค่าทำการขนย้ายกุโบรจำนวนหนึ่ง คณะกรรมการฯจึงได้มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วในการขุดย้ายกุโบร
โดยปกติตำแหน่งอิหม่ามเป็นตำแหน่งที่จะดำรงอยู่ได้ตลอดชีพ แต่อิหม่ามอับดุรเราะห์มาน เพียรมานะ ถืออายุการเป็นอิหม่ามเท่ากับคณะกรรมการมัสยิด คือ 4 ปี เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นที่มีความสามารถดำรงตำแหน่งบ้าง ปรากฏว่าอิหม่ามอับดุรเราะห์มาน เพียรมานะ ได้รับเลือกอยู่เสมอ อิหม่ามอับดุรเราะห์มาน เพียรมานะ ได้ลาออกอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ เมื่อตำแหน่งอิหม่ามว่างลง คณะกรรมการฯและสัปบุรุษจึงได้ประชุมและได้ลงมติเลือกให้ฮัจยีฮัสบุลเลาะห์ อามินเซ็น ซึ่งเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอเมริกัน ยูนิเวอร์ซิตี้ ประเทศอียิปต์ เป็นอิหม่ามคนที่หก สืบต่อไป โดยมีครูหมัด เพียรมานะ เป็นคอเต็บ นายสุดิน รักสลาม เป็นบิหลั่น
สำหรับมัสยิดหลังปัจจุบันนี้ ได้เริ่มก่อสร้างในสมัยอิหม่ามฮัจยีอับดุรเราะห์มาน เพียรมานะ ดำรงตำแหน่งอยู่ ในปี พ.ศ.2512 ขณะนั้นความเจริญได้แผ่ขยายมาถึงตำบลคลองตัน ซึ่งประกอบกับเวลานั้นอาคารมัสยิดกำลังทรุดโทรมไปตามวาระ คณะกรรมการฯจึงได้มีการประชุมเพื่อที่จะจัดสร้างหรือซ่อมแซมมัสยิดให้ดีขึ้น ขณะนั้นคณะกรรมการมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลาม แห่งประเทศไทย กำลังจะจัดสร้างศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทยขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกัน ได้ทาบทามคณะกรรมการมัสยิดยามิอุ้ลอิสลาม ให้ย้ายมัสยิดมาสร้างรวมกัน ซึ่งก็เห็นดีด้วยในครั้งแรก
ต่อมาระยะหลังคณะกรรมการฯและสัปบุรุษ ได้ประชุมร่วมกับประธานมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางฯ เกี่ยวกับสิทธิและระเบียบปฏิบัติอันพึงมีของสัปปุรุษชาวคลองตัน แต่ไม่เป็นที่ตกลงกัน จึงดำริที่จะสร้างมัสยิดหลังใหม่อยู่ในสถานที่เดิม จำนวนค่าก่อสร้างทั้งหมด 2,500,000 บาท โดยคณะกรรมการฯและสัปปุรุษ ประชุมเลือกให้ฮัจยีริฟาอี มูลทรัพย์ เป็นประธานการก่อสร้าง และต่อมาได้เลือก ฮัจยีอับดุรเราะห์มาน เพียรมานะ เป็นประธานกรรมการก่อสร้างต่อไป และได้ทำการวางรากฐานการก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2513 มีนายต่วน สุวรรณศาสตร์ (อดีตจุฬาราชมนตรี) เป็นประธานวางรากฐานการก่อสร้าง
โดยสิ้นงบประมาณในการก่อสร้างทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 2,712,999 บาท (สองล้านเจ็ดแสนหนึ่งหมื่นสองพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าบาทถ้วน)
ปัจจุบันมัสยิดยามิอุ้ลอิสลาม (คลองตัน) มีฮัจยีนริศ(คอลิด) อามินเซ็น เป็นอิหม่าม (คนที่เจ็ด) ฮัจยี มนตรี (อะห์หมัด) นะมิ เป็นคอเต็บ ฮัจยีอารี (ซุกรี่) อับดุลสลาม เป็นบิหลั่น