มัสยิดยามีอุลอิสลาม (รามคำแหง)
ซอย รามคำแหง 53 ถนน รามคำแหง ต.หัวหมาก อ.เขตบางกะปิ จ.กรุงเทพมหานคร 10240 087-056-7191

ประวัติเริ่มต้นของมัสยิด ยามีอุลอิสลาม (สุเหร่าวัดตึก) แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ในราวปี พ.ศ. 2440 ณ บริเวณหมู่บ้านวัดตึก ตำบลหัวหมาก ได้มีกลุ่มมุสลิมอพยพมาจากบ้านสามอิน บ้านคลองตัน บ้านคลองกะจะ มารวมตัวกัน ตั้งเป็นชุมชนมุสลิมแห่งใหม่ขึ้น มุสลิมกลุ่มดังกล่าวได้ร่วมกันสร้างสถานประกอบกิจกรรมทางศาสนาขึ้นเรียกว่า “บาแล” เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวมีผู้นำคนแรกคือ ฮัจยีมูฮำหมัด (แหยม) หลังจากนั้นเมื่อชุมชนเกิดการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น “บาแล” หลังเก่าไม่พอกับจำนวนผู้มาปฏิบัติ ท่านผู้นำคือ ฮัจยีอิบรอเฮม เกิดอยู่ จึงได้วะก๊อฟ (อุทิศ) ที่ดินส่วนตัว จำนวน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 โดยการนำของท่านอิหม่ามเด๊ะ ขำวิลัย และคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดพร้อมทั้งสัปปุรุษขณะนั้น ลงมติให้สร้างอาคารมัสยิดหลังใหม่เพื่อรองรับสุปปุรุษผู้คนที่มาร่วมละหมาดได้เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากในสมัยนั้นทางราชการได้มาก่อสร้างสนามกีฬาขนาดใหญ่ และจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 5 พร้อมทั้งจัดงานแสดงสินค้านานาชาติขึ้น ในบริเวณฝั่งตรงข้ามกับมัสยิดยามีอุลอิสลาม ประกอบกับประชาชนจากถิ่นอื่นได้อพยพเข้ามาประกอบอาชีพในบริเวณนี้ เป็นจำนวนมากเป็นทวีคูณ อาคารมัสยิดหลังใหม่เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่สูง 1 ชั้นครึ่ง ตกแต่งผิวภายนอก และภายในด้วยหินอ่อนจากอิตาลี โดยคุณไพจิตร พงศ์พรรณพฤกษ์ สถาปนิกมุสลิมเป็นผู้ออกแบบการก่อสร้างมัสยิดยามีอุลอิสลาม และได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2514 (รวมค่าก่อสร้างประมาณ ห้าล้านบาท) และในปีเดียวกันนี้กับทางราชการได้ประกาศจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงขึ้น ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิด โดยใช้อาคารที่แสดงสินค้านานาชาติเป็นสำนักงานและอาคารเรียนของคณะต่างๆ มหาวิยาลัยรามคำแหงอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมัสยิดยามีอุลอิสลาม ประชาชนทั่วไปจึงเปลี่ยนการเรียกชื่อมัสยิดใหม่ จาก “มัสยิดยามีอุลอิสลาม (สุเหร่าวัดตึก)” เป็น “มัสยิดยามีอุลอิสลาม (รามคำแหง)” หรือ “มัสยิดหน้าราม”
ต่อมาสัปปุรุษ และนักศึกษามุสลิมจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มาร่วมละหมาดวันศุกร์เป็นจำนวนมาก ตัวอาคารมัสยิดไม่พอกับจำนวนของผู้ที่มาปฏิบัติศาสนกิจ อิหม่ามซุกรี่ ฉิมหิรัญ และคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 ดำเนินการขยายตัวอาคารมัสยิดออกทางทิศเหนือ และทิศใต้จนเต็มพื้นที่ติดขอบรั้วริมคลองแสนแสบ แต่รูปทรงยังยึดสถาปัตยกรรมเดิม สิ้นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 7,359,900 บาท (เจ็ดล้านสามแสนห้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยบาทถ้วน) ใช้เวลาในการก่อสร้าง 1 ปีเต็ม ในอาคารมัสยิดปัจจุบันประกอบด้วยพื้นที่สำหรับละหมาดของชายและหญิง แยกออกจากกันเป็นกิจจะลักษณะ มีห้องประชุมขนาด 15 ที่นั่ง พร้อมอุปกรณ์ในการประชุมครบสมบูรณ์