มัสยิดอัล-เอาว์ก๊อฟ (กม.8)
ซอย เปรมฤทัย 1 ถนน รามอินทรา 46/1 ต.คันนายาว อ.เขตคันนายาว จ.กรุงเทพมหานคร 10230 084-003-2383
ณ ตำบลหมู่บ้านแห่งนี้เมื่ออดีต เดิมทีชาวบ้านรู้จักชื่อเรียกกันว่า “บางขวด” ซึ่งจะมีความหมายลึกๆย้อนหลังลงไปอีกนั้นไม่สามารถจะทราบได้กับที่มาของชื่อนี้ ต่อมาเมี่อได้มีประชาชนชาวชนบทเข้ามาประกอบอาชีพในเมืองหลวงมากขึ้น ทำให้กรุงเทพมหานครแออัดไปด้วยผู้คนที่มาอยู่อาศัย จึงทำให้มีบรรดาบริษัทมาจัดสรรขายที่ดินเช่าซื้อระบบผ่อนส่งชำระรายเดือนให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยเพื่อมาซื้อปลูกบ้านเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งดีกว่าการเช่าบ้านที่ไม่มีโอกาสเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองในอนาคต โดยได้มีห้างหุ้นส่วนจำกัดบ้านและที่ดินเปรมฤทัยมาเปิดทำการจัดสรรขายที่ดินผ่อนชำระรายเดือนเป็นล็อคๆละ 20 30 40 และ 50 ตารางวา ในบริเวณหมู่บ้านดังกล่าว
หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงหลักกิโลเมตรที่ 8 ของถนนรามอินทราซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเขตมีนบุรีกับบางเขน ปัจจุบันเป็นชุมชนที่รู้จักกันด้วยชื่อว่า ชุมชนหมู่บ้านเปรมฤทัย 1 ถนนรามอินทรา ก.ม. 8 ณ ชุมชนแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ.2519 ได้มีพี่น้องมุสลิมย้ายมาปลูกบ้านเป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินจัดสรรดังกล่าวประมาณ 10 กว่าครอบครัวและเนื่องจากเป็นท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกล ไม่มีโรงเรียนสอนศาสนาและไม่มีมัสยิด จึงได้มีการปรึกษาหารือร่วมกันคิดที่จะหาที่ดินเพื่อปลูกทำเป็นบาแลสักหลังหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่สอนอัลกุรอานแก่เด็กๆและเยาวชนให้เรียนรู้วิชาการภาคฟัรดูอีนและใช้เป็นที่ละหมาดยะมาอะห์ร่วมกัน
ฐานะของพี่น้องมุสลิมที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านดังกล่าวนี้เป็นผู้มีรายได้น้อยที่ต้องรับภาระในครอบครัวพร้อมกับภาระการเช่าซื้อที่ดินผ่อนส่งเป็นรายเดือน ทุกครอบครัวต้องต่อสู้กับปัญหาทาง เศรษฐกิจด้วยความสำนึกและห่วงใยต่อ สภาพของ สังคมที่อยู่ร่วมกันกับศาสนิกอื่นอันจะส่งผลกระทบ ถึงบุตรหลานของตนเองในอนาคต จึงได้มีการปรึกษาหารือดำริเริ่มต้นร่วมกันบริจาคเสียสละทรัพย์ตั้งเป็นกองทุนทุกๆเดือนตามกำลังความสามารถที่จะบริจาคและสมัครใจ จนเวลาผ่านไป 6 – 7 เดือนเศษ รวบรวมเงินเป็นกองทุนได้จำนวนหนึ่งจึงได้นำไปซื้อที่ดินผ่อนชำระส่งเป็นรายเดือนต่อจากบุคคลที่ขายให้ โดยมีคณะกรรมการริเริ่มร่วมลงชื่อเช่าซื้อที่ดินในสัญญาฯ (นายอำมาตย์ ละใบยูโซ๊ะ , นายพล มหัตถนพร , นายนิแม บินแวอารง , นายสมัคร มาลาฤทธิพร , นายสมัย สะมะแอ) เป็นผู้เช่าซื้อ นายสุข จันโต เป็นพยานผู้โอนกรรมสิทธิ์ และนายสุนทร เปรมฤทัย เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ได้ตกลงเช่าซื้อที่ดิน จำนวน 3 แปลง (แปลงละ 28 ตารางวา จำนวน 2 แปลง และ 32 ตารางวาอีก 1 แปลง) รวมเป็น 88 ตารางวา ในราคาเงินดาวน์ที่บุคคลขายต่อให้เป็นเงิน 12,000 บาทเศษ และผ่อนชำระรายเดือนๆละ 950 บาทเศษ ต่อไปอีกเป็นเวลา 122 เดือน จนครบยอดเงินผ่อนชำระตามสัญญาเช่าซื้อทั้งสิ้น 115,200 บาท และเมื่อได้มีสิทธิในที่ดินเช่าซื้อดังกล่าวแล้วจึงได้รณรงค์หาทุนร่วมกันดำเนินการที่จะปลูกสร้าง อัลฮัมดุลิ้ลลาห์ ก็ได้รับการวากั๊ฟบ้านทรงไทยหนึ่งหลังจาก ฮัจยีอาดัม และฮัจยะห์ไมมูเนาะห์ หวังต่ำ ให้มาปลูกสร้างเป็นบาแลขนาด 6 *12 เมตร เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2520 เป็นต้นมา
ในปี พ.ศ. 2525 ได้มีการจัดงานการกุศลหาทุนเพื่อนำมาชำระค่าที่ดินเช่าซื้อจนครบตามสัญญาและได้ที่ดินมาเป็นกรรมสิทธิ์ของส่วนกลางจำนวน 2 แปลงๆละ 28 ตารางวา รวม 56 ตารางวา และต่อมาได้มีบรรดาพี่น้องมุสลิมเขตชั้นในอพยพย้ายมาปลูกบ้านอยู่อาศัยในบริเวณหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านใกล้เคียงเพิ่มมากขึ้น ประมาณ 30 กว่าครอบครัว มีสมาชิกสัปปุรุษ 200 กว่าคน จึงได้ดำเนินการขออนุญาตจดทะเบียนบาแลและที่ดินดังกล่าวเป็น “ ศาสน-สมบัตินิติบุคคล อัล – เอาว์ก๊อฟ ” เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2525 และ วันที่ 16 สิงหาคม 2526 เป็นมัสยิดอัล – เอาว์ก๊อฟ และโรงเรียน ตามลำดับอันเป็นศาสนสมบัติที่ได้มาจากการบริจาคและอุทิศให้มาทั้งสิ้นและต่อมาในปี พ.ศ.2528 ได้จัดงานการกุศลหาทุนนำมาชำระค่าที่ดินเช่าซื้อเพิ่มเติมจนครบตามจำนวนสัญญาอีก 1 แปลง เนื้อที่ 32 ตารางวา รวมเป็น 3 แปลง เนื้อที่ทั้งหมด 88 ตารางวา และได้จดทะเบียนที่ดินนี้เป็นที่ปลูกสร้างโรงเรียน อัล –เอาว์ก๊อฟ โดยมัสยิด อัล – เอาว์ก๊อฟ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2528
หลังจากได้ที่ดินรวม 3 แปลง เนื้อที่ 88 ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์นิติบุคคลเป็นทรัพย์สมบัติของโรงเรียนและมัสยิดอัล – เอาว์ก๊อฟ แล้ว ได้มีการประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อดำริที่จะหาทุนก่อสร้างต่อเติมอาคารไม้บาแลเดิมซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวให้เป็นอาคาร 2 ชั้น ให้มีขนาดยาวและกว้างกว่าอาคารที่ใช้อยู่ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของพี่น้องมุสลิมที่อยู่ภายในหมู่บ้านอย่างถาวรและมั่นคงต่อไป อัลฮัมดุลิ้ลลาห์ ด้วยเนี๊ยะอ์มัตแห่งพระองค์อัลเลาะห์ ซ.บ. ฮัจยีมูฮำหมัด ฮัจยะห์ฮาวอ วารีศรี และทายาทได้วากั๊ฟที่ดินจำนวน 2 งาน (200 ตารางวา) ให้เพื่อเป็นที่ปลูกสร้างมัสยิดอัล – เอาว์ก๊อฟ ถาวรหลังใหม่แทนที่จะทำการบูรณะต่อเติมบาแลหลังเก่า และผู้วากั๊ฟได้ทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินพร้อมมอบโอนกรรมสิทธิ์ให้เป็นนิติบุคคลชื่อของมัสยิด อัล – เอาว์ก๊อฟ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2528 จากนั้นคณะกรรมการและสัปปุรุษได้ร่วมกันหาทุนขอรับบริจาคเงินเพื่อนำมาซื้อดินถมปรับปรุงพื้นที่ครั้งละหนึ่งหรือสองคันรถแบบมดปลวกก่อสร้างรังตามกำลังทุนทรัพย์ที่ได้รับบริจาค ในขณะเดียวกันก็ได้ทำการกำหนดรูปแบบแปลนลักษณะอาคารจำลองที่จะก่อสร้างในที่ดินวากั๊ฟดังกล่าวด้วย และเมื่อได้ทำการถมและปรับพื้นที่เรียบร้อยแล้วคณะกรรมการและสัปปุรุษก็มิได้หยุดยั้ง ยังดำเนินการร่วมกันหาทุนขอรับบริจาคทุนทรัพย์ และวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากบรรดาพี่น้องมุสลิมผู้มีจิตศรัทธาอย่างกว้างขวางเพื่อจะได้นำมาดำเนินการก่อสร้างเป็นอาคารคอนกรีต 2 ชั้น ขนาดกว้างยาว 12 * 24 เมตร ตามแบบแปลนที่กำหนดไว้